Thursday, 27 November 2014
Thursday, 20 November 2014
Tuesday, 7 October 2014
Saturday, 21 June 2014
เทคนิคการเตรียมตัวเพื่อการฝึกงาน
การฝึกงานนั้น ถือเป็นการเข้าถึงแหล่งความรู้ทางตรงที่ดีเยี่ยม
ก่อนที่จะก้าวไปสู่โลกแห่งการทำงานจริง เป็นโอกาสที่ดีที่นักศึกษาจะได้ลงมือปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจมากขึ้นจากการที่ได้เรียนในภาคทฤษฎีจากอาจารย์มาแล้ว การจะทำให้ประสบการณ์จากการฝึกงานนั้นมีค่าน่าจดจำ เป็นเรื่องไม่ยากหากคุณได้ศึกษาจากประสบการณ์ของผู้อื่น และเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี บทความนี้เป็นแหล่งความรู้หนึ่งซึ่งได้รวบรวม
เกร็ดความรู้และเทคนิคต่างๆ ที่ใช้ในการเผชิญกับปัญหายอดฮิตที่ผู้ฝึกงานส่วนใหญ่ต้องพบเจอ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้คุณสามารถประสบความสำเร็จ และได้รับประสบการณ์ที่มีค่าจากการฝึกงานไปได้อย่างเต็มที่ 1.พี่เลี้ยงไม่สอนงาน นักศึกษาฝึกงานส่วนหนึ่งเมื่อได้รับมอบหมายงาน แต่พี่เลี้ยงไม่มีเวลาสอนงานให้ เนื่องจากภาระงานของเขามาก ทำให้รู้สึกเกร็งทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ยิ่งถ้าเป็นงานที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะที่ไม่มีในคู่มือ หรือระบุไว้เป็นขั้นตอนการปฏิบัติงานชัดเจน
เมื่อได้รับมอบหมายงานมา ก็จะเหมือนเป็นการเพิ่มความกดดันให้กับตัวนักศึกษาค่อนข้างมาก Tips :โดยหลักการแล้วเมื่อเกิดปัญหาติดขัดเกี่ยวกับเรื่องงาน ต้องสอบถามผู้ที่มอบหมายงานมาทันที เนื่องจากว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงจากผลงานที่นักศึกษาฝึกงานทำ หรือไม่คุณก็อาจมองหาคนอื่นๆในที่ทำงานที่มีศักยภาพ ขอความช่วยเหลือและคำปรึกษาต่างๆจากเขา มองโลกในแง่ดีว่า นี่เป็นโอกาสหนึ่งที่เราจะได้รู้จักการพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด
1.หลายอย่างที่เราสามารถเรียนรู้ได้เอง ไม่ต้องรอผู้อื่น บางอย่างอาจใช้วิชาครูพักลักจำ ฝึกเป็นคนช่างสังเกต ทดลองค้นคว้า วิธีการใหม่ๆ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่คุณร่ำเรียนมานั้นใช้การได้จริงแค่ไหน แท้จริงแล้วมีหลายองค์กรที่ไม่ได้ต้องการคนที่ทำตามใจเขาทั้งหมดหากเราไม่แสดงให้เขาเห็นว่ามีความเชื่อมั่นและศรัทธาในคุณค่าของตัวเองแล้วจะให้เขาเชื่อได้อย่างไรว่าเราจะสามารถพาองค์กรของเขาก้าวไปข้างหน้าได้
อย่าลืมว่าผู้ที่ควบคุมงานนักศึกษามีหน้าที่ประเมินผลการทำงานของคุณอยู่ตลอดเวลาด้วย
2.ไม่ได้รับมอบหมายงานที่เหมาะสม เป็นความจริงที่ว่าหลายๆองค์กรเปิดรับนักศึกษาฝึกงานจำนวนมาก แต่เมื่อนักศึกษาเข้าไปแล้ว กลับไม่ได้มอบหมายงานที่เป็นชิ้นเป็นอัน งานส่วนใหญ่กลายเป็นงานเบ็ดเตล็ด งานเล็กๆน้อย เช่น งานส่งเอกสาร จัดเอกสาร พิมพ์งาน ถ่ายเอกสาร ประสานงาน เป็นต้น
Tips :คุณต้องฝึกเป็นคนช่างสังเกต ว่าในแผนกที่คุณไปฝึกงานนั้น
พนักงานส่วนใหญ่ต้องทำหน้าที่อะไรบ้างในแต่ละวัน ในช่วงนั้นมีภาระกิจหรือโครงการพิเศษอะไรบ้าง เริ่มจากการสอบถามพี่เลี้ยง เพื่อนร่วมงาน หมั่นแสดงออกซึ่งความเต็มใจที่จะช่วยเหลืองานต่างๆ เริ่มจากงานชิ้นเล็กๆ ไปจนถึงงานที่ต้องใช้ทักษะ หรือความรู้ในระดับที่สูงๆ ขึ้นไป อีกทั้งควรฝึกการมองผู้อื่นอย่างเข้าใจ เนื่องจากหากคุณมีงานสำคัญที่ต้องรับผิดชอบ ก็มีความเสี่ยงหากให้งานนั้นกับเด็กฝึกงาน ที่อาจทำให้เกิดความผิดพลาด และจะเกิดผลเสียหายตามมาได้
ดังนั้น จึงควรเผื่อใจไว้ หากคุณเสนอตัวช่วยงานแล้วได้รับการปฏิเสธกลับมา อีกทางเลือกหนึ่ง คือนักศึกษาฝึกงานบางคน อาจใช้วิธีแก้ปัญหานี้โดยการขอโอกาส เสนอที่จะทำงาน หรือทำโครงการที่เราคิดว่าเข้ากับงานของหน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆได้และเป็นประโยชน์ต่อการฝึกงานของตัวเอง คือได้ใช้ความรู้ความสามารถที่เรียนมาทำประโยชน์ให้หน่วยงานที่เราไปฝึกเช่น เสนอระบบงานที่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในหน่วยงานนั้น หรืออาจทำชิ้นงานไว้ให้หน่วยงานใช้ประโยชน์ หรือจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการทำงานของหน่วยงาน หรือเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าขององค์กรนั้น เป็นต้น
3.ได้รับมอบหมายงานมากเกินกำลัง ประเด็นนี้เป็นปัญหาที่ตรงกันข้ามกับปัญหาในข้อสองโดยสิ้นเชิงอาจเกิดจากองค์กรมองว่านักศึกษาฝึกงานบางคน มีศักยภาพสูง หรือปริมาณงานของหน่วยงานในขณะนั้นมีมาก ก็อาจทำให้หัวหน้างานต้องจัดแบ่งมาให้นักศึกษาร่วมรับผิดชอบ หรือในกรณีที่คุณมีภารกิจงานหลักที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่อาจถูกร้องขอให้ช่วยงานพี่ๆ หรือเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆเพิ่มเติม ทำให้ปริมาณงานมากจนล้นมือ
Tips :ให้มองว่าเป็นโอกาสดีที่คุณจะได้แสดงความสามารถ ในที่นี้ขอแนะนำว่าให้คุณหลีกเลี่ยงการปฏิเสธงาน เพราะถ้าทำเช่นนั้นคุณจะถูกมองในแง่ลบมากกว่าแง่บวกทันที ควรใช้การจดบันทึกทุกครั้งเมื่อได้รับมอบหมายงาน ในกรณีที่มีงานหลายๆอย่างเข้ามาพร้อมกัน ให้บริหารจัดการให้ดี จัดทำแผนงาน แจกแจงหัวข้องานให้ชัดเจน อาจจัดทำในรูปแบบตาราง ระบุระยะเวลาของการดำเนินงานในแต่ละชิ้นงานแต่ละขั้นตอนให้ละเอียด ประมาณการเวลาที่งานจะแล้วเสร็จแล้ว
พยายามทำให้ได้ตามแผน และรายงานผู้ควบคุมงานอยู่เป็นระยะ กรณีมีปัญหาติดขัด ต้องรีบรายงานผู้ที่มอบหมายงานให้ทันที เพื่อขอคำแนะนำ การจัดทำแผนงานที่ระบุรายละเอียดของขั้นตอนงานนี้ จะมีส่วนช่วยคุณอย่างมากในการจะทำให้ผู้ที่มอบหมายงานมองเห็นภาพรวมของปริมาณงานของคุณ เปรียบเทียบกับเวลา และจำนวนคนทำงานซึ่งเมื่อเขาพบความผิดปรกติของปริมาณงานที่คุณได้รับ ก็จะได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนได้ทันท่วงที และคุณสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองเรื่องระยะเวลาแล้วเสร็จ หรือขอให้มีเพื่อนร่วมทีมที่จะมาแบ่งเบาภาระไปได้มากขึ้น
ซึ่งหากจัดสรรได้เช่นนี้จะทำให้คุณดูมีความเป็นมืออาชีพอย่างมากในการทำงาน
4.ถูกข่มเหงเอาเปรียบจากเพื่อนร่วมงาน ปัญหาสำคัญที่อาจเกิดขึ้นได้ขณะไปฝึกงาน คือ การที่นักศึกษาฝึกงานบางคนถูกพี่เลี้ยง หรือเพื่อนร่วมงานบางคนเอารัดเอาเปรียบ ตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ หยุมหยิม เช่น ใช้ไปทำธุระส่วนตัวในเวลางาน ถูกใช้ให้ทำงานที่คนอื่นปฏิเสธ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ เช่น เรื่องเงิน หรือค่าตอบแทนจากการทำงาน
Tips :มองเรื่องนี้ด้วยความเข้าใจว่าเป็นแบบทดสอบความอดทน บางครั้งการยอมอดทนกับการเอารัดเอาเปรียบของผู้อื่น หลีกเลี่ยงการปะทะ หรือวิวาทะ และให้อภัย กับคนที่ทำไม่ดีกับคุณ ไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ แท้ที่จริงคุณคือผู้ชนะที่สามารถพิชิตอุปสรรค ที่เข้ามาท้าทายคุณในเรื่องของความอดทนอดกลั้นต่อความลำบาก ถือเป็นขันติบารมีอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นแบบฝึกหัดข้อใหญ่ที่ไม่มีอยู่ในตำราเรียนเล่มไหนๆ อย่างไรก็ตามในบางกรณี มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณต้องปกป้องสิทธิของตัวเอง ในกรณีที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตัวคุณ หรือเป็นการละเมิดศีลธรรม กฎหมาย จารีตประเพณี คุณต้องรายงานให้หัวหน้างานของคุณพร้อมๆกับรายงานไปยังสถาบันการศึกษาต้นสังกัดให้รับทราบทันที เพื่อจะได้หาทางป้องกันแก้ไขได้อย่างทันท่วงที
5. เข้ากับหัวหน้างานไม่ได้ Tips :การฝึกงานไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตการศึกษา แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตในโลกของการทำงานจริง เป็นเรื่องจริงที่ว่า แต่ละคนก็จะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ตามการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมสภาพสังคม ฉะนั้น เป็นไปได้ ที่เราอาจไม่เป็นที่ถูกใจ ผู้ที่เป็นหัวหน้างานในขณะที่ไปฝึกงาน โดยที่ไม่มีเหตุผลใดๆประกอบทางออกที่ดีก็คือ ให้เบี่ยงเบนความสนใจของคุณออกไปจากเรื่องเหล่านี้ อย่างที่ทราบกันดีว่า
ปัญหาเรื่องคนแก้ยากกว่าเรื่องงาน แต่ที่สุดแล้วการปรับแก้ที่ตัวเราเองเป็นเรื่องง่ายกว่ามากคุณควรมุ่งเน้นที่ตัวงานเป็นหลัก ช่วยเหลือสนับสนุนงานของหัวหน้าให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เน้นที่คุณภาพของตัวงาน ที่เหมาะสมกับปริมาณงานด้วย สุดท้ายแล้วหัวหน้างานย่อมมองออกว่า คุณนั่นแหละ คือ คนที่ทำงานจริง ทำงานได้ มีผลงานเป็นรูปธรรม จำไว้ว่า “ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน”
6. รู้สึกโดดเดี่ยว ขาดกำลังใจในการทำงาน Tips :อย่าลืมว่าการที่เราเข้าไปเป็นน้องใหม่ในที่ทำงานในฐานะนักศึกษาฝึกงาน คุณต้องเป็นฝ่ายที่เข้าหาผู้อื่น เพื่อแนะนำตัวคุณเองให้เป็นที่รู้จักและขอคำแนะนำจากพวกเขา เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งคุณจะเริ่มมีความสนิทสนม เป็นส่วนหนึ่งของทีม ทำให้ทำงานได้อย่างราบรื่นประสบความสำเร็จ
สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้เต็มที่มากขึ้น ในขณะที่ฝึกงานเพื่อนร่วมงาน เปรียบเสมือนครูอาจารย์ของเราฉะนั้นการปฏิบัติตนกับผู้ร่วมงานต้องมีสัมมาคารวะหลีกเลี่ยงการเข้ากลุ่มนินทาว่าร้าย การทะเลาะวิวาท แล้วคุณจะได้รับคำแนะนำดีๆ และกำลังใจมากมายจากพี่ๆ เพื่อนร่วมงานอย่าลืมว่า ทุกๆพฤติกรรมของคุณอาจถูกรายงานกลับไปยังสถานศึกษาต้นสังกัด หรืออาจมีผลต่อการประเมินการฝึกงานของคุณ
คุณจึงควรระมัดระวังเรื่องการวางตัวอย่างมาก ทุกคนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองถ้าเราเข้าใจในตัวเขาและพยายามเข้ากับเขาให้ได้ก็จะไม่เกิดปัญหาการวางตัวต่อผู้ใหญ่เรียนรู้ว่าเวลาทำงานไม่ควรรบกวนผู้อื่น รู้จักเวลาและสถานที่ว่าตอนไหนควรทำอะไร
จะเห็นได้ว่า ตัวอย่างปัญหาที่ระบุไว้ในบทความนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงของการฝึกงานเท่านั้น ถ้าหากคุณเข้ามาทำงานเป็นพนักงานจริงๆปัญหาเหล่านี้คุณต้องเจอแน่นอนซึ่งถ้าคุณปรับตัวได้ตั้งแต่เป็นนักศึกษาฝึกงาน ย่อมถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี และเปรียบเหมือนการปูพื้นฐานที่ดีสู่โลกการทำงานที่สดใสต่อไป
From Link: http://jobmarket.co.th/mustKnow/content_detail.php?dd=1445
Copyright@ Jobmarket
ก่อนที่จะก้าวไปสู่โลกแห่งการทำงานจริง เป็นโอกาสที่ดีที่นักศึกษาจะได้ลงมือปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจมากขึ้นจากการที่ได้เรียนในภาคทฤษฎีจากอาจารย์มาแล้ว การจะทำให้ประสบการณ์จากการฝึกงานนั้นมีค่าน่าจดจำ เป็นเรื่องไม่ยากหากคุณได้ศึกษาจากประสบการณ์ของผู้อื่น และเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี บทความนี้เป็นแหล่งความรู้หนึ่งซึ่งได้รวบรวม
เกร็ดความรู้และเทคนิคต่างๆ ที่ใช้ในการเผชิญกับปัญหายอดฮิตที่ผู้ฝึกงานส่วนใหญ่ต้องพบเจอ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้คุณสามารถประสบความสำเร็จ และได้รับประสบการณ์ที่มีค่าจากการฝึกงานไปได้อย่างเต็มที่ 1.พี่เลี้ยงไม่สอนงาน นักศึกษาฝึกงานส่วนหนึ่งเมื่อได้รับมอบหมายงาน แต่พี่เลี้ยงไม่มีเวลาสอนงานให้ เนื่องจากภาระงานของเขามาก ทำให้รู้สึกเกร็งทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ยิ่งถ้าเป็นงานที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะที่ไม่มีในคู่มือ หรือระบุไว้เป็นขั้นตอนการปฏิบัติงานชัดเจน
เมื่อได้รับมอบหมายงานมา ก็จะเหมือนเป็นการเพิ่มความกดดันให้กับตัวนักศึกษาค่อนข้างมาก Tips :โดยหลักการแล้วเมื่อเกิดปัญหาติดขัดเกี่ยวกับเรื่องงาน ต้องสอบถามผู้ที่มอบหมายงานมาทันที เนื่องจากว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงจากผลงานที่นักศึกษาฝึกงานทำ หรือไม่คุณก็อาจมองหาคนอื่นๆในที่ทำงานที่มีศักยภาพ ขอความช่วยเหลือและคำปรึกษาต่างๆจากเขา มองโลกในแง่ดีว่า นี่เป็นโอกาสหนึ่งที่เราจะได้รู้จักการพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด
1.หลายอย่างที่เราสามารถเรียนรู้ได้เอง ไม่ต้องรอผู้อื่น บางอย่างอาจใช้วิชาครูพักลักจำ ฝึกเป็นคนช่างสังเกต ทดลองค้นคว้า วิธีการใหม่ๆ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่คุณร่ำเรียนมานั้นใช้การได้จริงแค่ไหน แท้จริงแล้วมีหลายองค์กรที่ไม่ได้ต้องการคนที่ทำตามใจเขาทั้งหมดหากเราไม่แสดงให้เขาเห็นว่ามีความเชื่อมั่นและศรัทธาในคุณค่าของตัวเองแล้วจะให้เขาเชื่อได้อย่างไรว่าเราจะสามารถพาองค์กรของเขาก้าวไปข้างหน้าได้
อย่าลืมว่าผู้ที่ควบคุมงานนักศึกษามีหน้าที่ประเมินผลการทำงานของคุณอยู่ตลอดเวลาด้วย
2.ไม่ได้รับมอบหมายงานที่เหมาะสม เป็นความจริงที่ว่าหลายๆองค์กรเปิดรับนักศึกษาฝึกงานจำนวนมาก แต่เมื่อนักศึกษาเข้าไปแล้ว กลับไม่ได้มอบหมายงานที่เป็นชิ้นเป็นอัน งานส่วนใหญ่กลายเป็นงานเบ็ดเตล็ด งานเล็กๆน้อย เช่น งานส่งเอกสาร จัดเอกสาร พิมพ์งาน ถ่ายเอกสาร ประสานงาน เป็นต้น
Tips :คุณต้องฝึกเป็นคนช่างสังเกต ว่าในแผนกที่คุณไปฝึกงานนั้น
พนักงานส่วนใหญ่ต้องทำหน้าที่อะไรบ้างในแต่ละวัน ในช่วงนั้นมีภาระกิจหรือโครงการพิเศษอะไรบ้าง เริ่มจากการสอบถามพี่เลี้ยง เพื่อนร่วมงาน หมั่นแสดงออกซึ่งความเต็มใจที่จะช่วยเหลืองานต่างๆ เริ่มจากงานชิ้นเล็กๆ ไปจนถึงงานที่ต้องใช้ทักษะ หรือความรู้ในระดับที่สูงๆ ขึ้นไป อีกทั้งควรฝึกการมองผู้อื่นอย่างเข้าใจ เนื่องจากหากคุณมีงานสำคัญที่ต้องรับผิดชอบ ก็มีความเสี่ยงหากให้งานนั้นกับเด็กฝึกงาน ที่อาจทำให้เกิดความผิดพลาด และจะเกิดผลเสียหายตามมาได้
ดังนั้น จึงควรเผื่อใจไว้ หากคุณเสนอตัวช่วยงานแล้วได้รับการปฏิเสธกลับมา อีกทางเลือกหนึ่ง คือนักศึกษาฝึกงานบางคน อาจใช้วิธีแก้ปัญหานี้โดยการขอโอกาส เสนอที่จะทำงาน หรือทำโครงการที่เราคิดว่าเข้ากับงานของหน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆได้และเป็นประโยชน์ต่อการฝึกงานของตัวเอง คือได้ใช้ความรู้ความสามารถที่เรียนมาทำประโยชน์ให้หน่วยงานที่เราไปฝึกเช่น เสนอระบบงานที่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในหน่วยงานนั้น หรืออาจทำชิ้นงานไว้ให้หน่วยงานใช้ประโยชน์ หรือจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการทำงานของหน่วยงาน หรือเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าขององค์กรนั้น เป็นต้น
3.ได้รับมอบหมายงานมากเกินกำลัง ประเด็นนี้เป็นปัญหาที่ตรงกันข้ามกับปัญหาในข้อสองโดยสิ้นเชิงอาจเกิดจากองค์กรมองว่านักศึกษาฝึกงานบางคน มีศักยภาพสูง หรือปริมาณงานของหน่วยงานในขณะนั้นมีมาก ก็อาจทำให้หัวหน้างานต้องจัดแบ่งมาให้นักศึกษาร่วมรับผิดชอบ หรือในกรณีที่คุณมีภารกิจงานหลักที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่อาจถูกร้องขอให้ช่วยงานพี่ๆ หรือเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆเพิ่มเติม ทำให้ปริมาณงานมากจนล้นมือ
Tips :ให้มองว่าเป็นโอกาสดีที่คุณจะได้แสดงความสามารถ ในที่นี้ขอแนะนำว่าให้คุณหลีกเลี่ยงการปฏิเสธงาน เพราะถ้าทำเช่นนั้นคุณจะถูกมองในแง่ลบมากกว่าแง่บวกทันที ควรใช้การจดบันทึกทุกครั้งเมื่อได้รับมอบหมายงาน ในกรณีที่มีงานหลายๆอย่างเข้ามาพร้อมกัน ให้บริหารจัดการให้ดี จัดทำแผนงาน แจกแจงหัวข้องานให้ชัดเจน อาจจัดทำในรูปแบบตาราง ระบุระยะเวลาของการดำเนินงานในแต่ละชิ้นงานแต่ละขั้นตอนให้ละเอียด ประมาณการเวลาที่งานจะแล้วเสร็จแล้ว
พยายามทำให้ได้ตามแผน และรายงานผู้ควบคุมงานอยู่เป็นระยะ กรณีมีปัญหาติดขัด ต้องรีบรายงานผู้ที่มอบหมายงานให้ทันที เพื่อขอคำแนะนำ การจัดทำแผนงานที่ระบุรายละเอียดของขั้นตอนงานนี้ จะมีส่วนช่วยคุณอย่างมากในการจะทำให้ผู้ที่มอบหมายงานมองเห็นภาพรวมของปริมาณงานของคุณ เปรียบเทียบกับเวลา และจำนวนคนทำงานซึ่งเมื่อเขาพบความผิดปรกติของปริมาณงานที่คุณได้รับ ก็จะได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนได้ทันท่วงที และคุณสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองเรื่องระยะเวลาแล้วเสร็จ หรือขอให้มีเพื่อนร่วมทีมที่จะมาแบ่งเบาภาระไปได้มากขึ้น
ซึ่งหากจัดสรรได้เช่นนี้จะทำให้คุณดูมีความเป็นมืออาชีพอย่างมากในการทำงาน
4.ถูกข่มเหงเอาเปรียบจากเพื่อนร่วมงาน ปัญหาสำคัญที่อาจเกิดขึ้นได้ขณะไปฝึกงาน คือ การที่นักศึกษาฝึกงานบางคนถูกพี่เลี้ยง หรือเพื่อนร่วมงานบางคนเอารัดเอาเปรียบ ตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ หยุมหยิม เช่น ใช้ไปทำธุระส่วนตัวในเวลางาน ถูกใช้ให้ทำงานที่คนอื่นปฏิเสธ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ เช่น เรื่องเงิน หรือค่าตอบแทนจากการทำงาน
Tips :มองเรื่องนี้ด้วยความเข้าใจว่าเป็นแบบทดสอบความอดทน บางครั้งการยอมอดทนกับการเอารัดเอาเปรียบของผู้อื่น หลีกเลี่ยงการปะทะ หรือวิวาทะ และให้อภัย กับคนที่ทำไม่ดีกับคุณ ไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ แท้ที่จริงคุณคือผู้ชนะที่สามารถพิชิตอุปสรรค ที่เข้ามาท้าทายคุณในเรื่องของความอดทนอดกลั้นต่อความลำบาก ถือเป็นขันติบารมีอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นแบบฝึกหัดข้อใหญ่ที่ไม่มีอยู่ในตำราเรียนเล่มไหนๆ อย่างไรก็ตามในบางกรณี มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณต้องปกป้องสิทธิของตัวเอง ในกรณีที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตัวคุณ หรือเป็นการละเมิดศีลธรรม กฎหมาย จารีตประเพณี คุณต้องรายงานให้หัวหน้างานของคุณพร้อมๆกับรายงานไปยังสถาบันการศึกษาต้นสังกัดให้รับทราบทันที เพื่อจะได้หาทางป้องกันแก้ไขได้อย่างทันท่วงที
5. เข้ากับหัวหน้างานไม่ได้ Tips :การฝึกงานไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตการศึกษา แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตในโลกของการทำงานจริง เป็นเรื่องจริงที่ว่า แต่ละคนก็จะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ตามการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมสภาพสังคม ฉะนั้น เป็นไปได้ ที่เราอาจไม่เป็นที่ถูกใจ ผู้ที่เป็นหัวหน้างานในขณะที่ไปฝึกงาน โดยที่ไม่มีเหตุผลใดๆประกอบทางออกที่ดีก็คือ ให้เบี่ยงเบนความสนใจของคุณออกไปจากเรื่องเหล่านี้ อย่างที่ทราบกันดีว่า
ปัญหาเรื่องคนแก้ยากกว่าเรื่องงาน แต่ที่สุดแล้วการปรับแก้ที่ตัวเราเองเป็นเรื่องง่ายกว่ามากคุณควรมุ่งเน้นที่ตัวงานเป็นหลัก ช่วยเหลือสนับสนุนงานของหัวหน้าให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เน้นที่คุณภาพของตัวงาน ที่เหมาะสมกับปริมาณงานด้วย สุดท้ายแล้วหัวหน้างานย่อมมองออกว่า คุณนั่นแหละ คือ คนที่ทำงานจริง ทำงานได้ มีผลงานเป็นรูปธรรม จำไว้ว่า “ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน”
6. รู้สึกโดดเดี่ยว ขาดกำลังใจในการทำงาน Tips :อย่าลืมว่าการที่เราเข้าไปเป็นน้องใหม่ในที่ทำงานในฐานะนักศึกษาฝึกงาน คุณต้องเป็นฝ่ายที่เข้าหาผู้อื่น เพื่อแนะนำตัวคุณเองให้เป็นที่รู้จักและขอคำแนะนำจากพวกเขา เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งคุณจะเริ่มมีความสนิทสนม เป็นส่วนหนึ่งของทีม ทำให้ทำงานได้อย่างราบรื่นประสบความสำเร็จ
สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้เต็มที่มากขึ้น ในขณะที่ฝึกงานเพื่อนร่วมงาน เปรียบเสมือนครูอาจารย์ของเราฉะนั้นการปฏิบัติตนกับผู้ร่วมงานต้องมีสัมมาคารวะหลีกเลี่ยงการเข้ากลุ่มนินทาว่าร้าย การทะเลาะวิวาท แล้วคุณจะได้รับคำแนะนำดีๆ และกำลังใจมากมายจากพี่ๆ เพื่อนร่วมงานอย่าลืมว่า ทุกๆพฤติกรรมของคุณอาจถูกรายงานกลับไปยังสถานศึกษาต้นสังกัด หรืออาจมีผลต่อการประเมินการฝึกงานของคุณ
คุณจึงควรระมัดระวังเรื่องการวางตัวอย่างมาก ทุกคนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองถ้าเราเข้าใจในตัวเขาและพยายามเข้ากับเขาให้ได้ก็จะไม่เกิดปัญหาการวางตัวต่อผู้ใหญ่เรียนรู้ว่าเวลาทำงานไม่ควรรบกวนผู้อื่น รู้จักเวลาและสถานที่ว่าตอนไหนควรทำอะไร
จะเห็นได้ว่า ตัวอย่างปัญหาที่ระบุไว้ในบทความนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงของการฝึกงานเท่านั้น ถ้าหากคุณเข้ามาทำงานเป็นพนักงานจริงๆปัญหาเหล่านี้คุณต้องเจอแน่นอนซึ่งถ้าคุณปรับตัวได้ตั้งแต่เป็นนักศึกษาฝึกงาน ย่อมถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี และเปรียบเหมือนการปูพื้นฐานที่ดีสู่โลกการทำงานที่สดใสต่อไป
From Link: http://jobmarket.co.th/mustKnow/content_detail.php?dd=1445
Copyright@ Jobmarket
Tuesday, 18 March 2014
#เรื่องสั้นอ่านแล้วจิตใจดี #เอามาจากไลน์กรุ๊ปเพื่อนตำรวจ #ตำรวจไทยควรอ่านเยอะๆ
#เรื่องสั้นอ่านแล้วจิตใจดี #เอามาจากไลน์กรุ๊ปเพื่อนตำรวจ
#ตำรวจไทยควรอ่านเยอะๆ
คนใจดำ เปลี่ยนแปลง ตัวเองได้... เพราะอะไร??
เรื่องเล่า… มีอยู่ว่า พี่ชิต แกเป็นคนใจดำครับ ชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย แต่ที่หนัก ก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับ แม่แกบอก มันบาปนะลูก พี่แก ก็ไม่เคยสนใจ คำเตือนของแม่เลย
เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป… ครั้งนั้น มีแม่หมาขี้เรื้อน ตัวหนึ่งครับ มันมักวิ่งไปหาของกิน แถวๆ บ้านแกบ่อย เพราะบ้านแกติดตลาด
ผมเคยถามพี่ชิต ที่กินหมา อยู่บ่อยๆ ว่า ทำไมไม่กินหมาขี้เรื้อน แกบอก “กินไม่ลงว่ะ"
มีอยู่วันหนึ่ง เนื้อแห้งที่แกตากไว้ หายไป พอมองไป ก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนนั้น วิ่งคาบเนื้อตากแห้ง ของแกอยู่ ความแค้นใจ และการฆ่า ที่อยู่ในสันดาน พี่ชิตคว้าไม้ ที่ใช้ตีหมาได้ ก็วิ่งตามไป อย่างรวดเร็ว พอตามทัน แกก็ทุบไปทีเดียว หมาขี้เรื้อนนั่น ล้มลงชักทันที (แกบอกว่า หากตีตรงจุด แค่ไม้เล็กๆ ธรรมดา ก็ตายได้ นี่คือคน ตีหมาจนชำนาญ)
พี่ชิตทิ้งซากหมา กองไว้อยู่ตรงนั้น โดยไม่ต้องเหลียวหน้าไปดูอีก เพราะตีมาเป็นร้อย ก็ไม่มีทางฟื้น และวันนี้ ด้วยความโมโห พี่ชิตจะกินหมาขี้เรื้อนตัวนี้ ที่ดันมากินเนื้อตากแห้ง และมาหยาม ถึงถิ่นของแก
พี่ชิตเดินกลับไปที่บ้าน เพื่อเตรียมอุปกรณ์ ในการแล่เนื้อ พร้อมกับสั่งให้ผม เฝ้าซากหมาขี้เรื้อนตัวนี้เอาไว้ แต่ผมก็มัวแต่เก็บตะขบ จนลืมดู
พอพี่ชิตมาถึง ก็โวยวายกับผมว่า ซากหมาหายไปไหน พร้อมกับวิ่งตาม รอยเลือด หมาขี้เรื้อนตัวนี้ พร้อมกับบ่นว่า... “ทำไมมันไม่ตายวะ”
สักพักหนึ่ง แกก็ได้ยินเสียงหมาเห่า แกก็ตามเสียงไปทันที พอไปถึง ภาพที่เห็นคือ หมาขี้เรื้อน กำลังจะตาย มันมีลูก ที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังกินนมอยู่
บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อ ที่แม่หมาขี้เรื้อน คาบไปฝาก (เห็นกับตา) แม่หมาขี้เรื้อน
ตัวนี้ มันตายแล้วฟื้น และที่มัน ยังไม่ยอมตาย ก็เพราะจิตใจอันเข้มแข็ง ของมัน ที่ปลุกเร้าเยื่อใย ที่คงเหลือ อย่างเหนียวแน่นว่า… ต้องกลับไปให้ได้ เพื่อให้ลูกมันกินนมครับ
การตีของพี่ชิตนั้น กระทบกระเทือน ถึงหัวสมองแตก เลือดสาดเป็นลิ่มๆ แต่มันก็ยัง ลากตัวมันเอง กระเสือกกระสน ล้มลุกคลุกคลาน เพื่อกลับมาหา ลูกของมันจนได้ และสิ่งที่เห็นคือ...
การกระทำที่ยิ่งใหญ่ ของความเป็นแม่ ที่รักลูกมากเป็นที่สุด โดยไม่ห่วงตัวจะตาย นี่จิตใจอันยิ่งใหญ่ของแม่ ที่ไม่ว่าสัตว์ หรือคน ก็มีจิตใจเช่นนี้ แม้มันจะตาย ก็ขอให้ลูกพวกมัน ได้อิ่มซักมื้อ
แม่หมาพยายาม อย่างดีที่สุดแล้วครับ ผมไม่อยากจะเชื่อ... นั่นคือ น้ำตา ของแม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น มันมองผมกับพี่ชิต เหมือนขอร้อง เป็นครั้งสุดท้าย ที่มันต้องการให้นมลูก ก่อนตาย
สายตาของมันเศร้ามาก มันมองผมกับพี่ชิต อย่างวิงวอนทางสายตา ที่ขอร้องของมัน เพื่อขอให้มัน ได้ให้นมลูกของมัน เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตาย
พี่ชิต ไม้หล่นลงกับพื้น เดินเข้าไปดู แม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น ในยามนั้น... สิ่งที่แกเห็น ไม่ใช่หมาขี้เรื้อน แต่แกเห็นจิตใจ แห่งความเป็นแม่ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งทนเจ็บปางตาย เพื่อกลับไปหาลูกให้ได้
แกไม่พูดอะไร... ทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ... สายตาพี่ชิต ที่แข็งกร้าว กลับอ่อนโยนลง พร้อมกับมีลูกหมาตัวหนึ่ง วิ่งไปหาแก กระดิกหางให้ แกอุ้มลูกหมาขึ้น พร้อมมองไปที่ สายตา ของแม่หมาขี้เรื้อนนั้น อย่างสำนึกผิด และพูดคำว่า "ขอโทษ” พูดได้แค่นั้น แม่หมาก็สิ้นใจตาย อย่างตาหลับ
ผมกับพี่ชิต ช่วยกันฝังแม่หมาตัวนี้... พร้อมๆ กับจิตสำนึก ที่เกิดใหม่ ของพี่ชิต ที่เปลี่ยนไป ราวกับคนละคน แกรับเลี้ยง ลูกหมานั้นไว้ ทั้ง 5 ตัว และตั้งแต่นั้น แกกลายเป็นคนใจดี ไม่ไล่ยิงนก ยิงหมา ยิงแมวอีก แกบอกว่า... "มันอาจจะมี ลูกรออยู่ก็ได้”
วันเกิดของแม่ ปีที่แล้ว แกเอามะลิ ร้อยเป็นพวง ไปให้แม่ ทั้งๆ ที่ ไม่เคยทำมาก่อน พี่ชิตกราบแม่ พร้อมพูดกับแม่ว่า "แม่ครับ... ตอนผมอายุ 16 แม่สอนผม ยังไงนะ สอนอีกหน ได้ไหมครับ" แม่แกน้ำตาคลอ พูดไม่ออก
#ตำรวจไทยควรอ่านเยอะๆ
คนใจดำ เปลี่ยนแปลง ตัวเองได้... เพราะอะไร??
เรื่องเล่า… มีอยู่ว่า พี่ชิต แกเป็นคนใจดำครับ ชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย แต่ที่หนัก ก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับ แม่แกบอก มันบาปนะลูก พี่แก ก็ไม่เคยสนใจ คำเตือนของแม่เลย
เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป… ครั้งนั้น มีแม่หมาขี้เรื้อน ตัวหนึ่งครับ มันมักวิ่งไปหาของกิน แถวๆ บ้านแกบ่อย เพราะบ้านแกติดตลาด
ผมเคยถามพี่ชิต ที่กินหมา อยู่บ่อยๆ ว่า ทำไมไม่กินหมาขี้เรื้อน แกบอก “กินไม่ลงว่ะ"
มีอยู่วันหนึ่ง เนื้อแห้งที่แกตากไว้ หายไป พอมองไป ก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนนั้น วิ่งคาบเนื้อตากแห้ง ของแกอยู่ ความแค้นใจ และการฆ่า ที่อยู่ในสันดาน พี่ชิตคว้าไม้ ที่ใช้ตีหมาได้ ก็วิ่งตามไป อย่างรวดเร็ว พอตามทัน แกก็ทุบไปทีเดียว หมาขี้เรื้อนนั่น ล้มลงชักทันที (แกบอกว่า หากตีตรงจุด แค่ไม้เล็กๆ ธรรมดา ก็ตายได้ นี่คือคน ตีหมาจนชำนาญ)
พี่ชิตทิ้งซากหมา กองไว้อยู่ตรงนั้น โดยไม่ต้องเหลียวหน้าไปดูอีก เพราะตีมาเป็นร้อย ก็ไม่มีทางฟื้น และวันนี้ ด้วยความโมโห พี่ชิตจะกินหมาขี้เรื้อนตัวนี้ ที่ดันมากินเนื้อตากแห้ง และมาหยาม ถึงถิ่นของแก
พี่ชิตเดินกลับไปที่บ้าน เพื่อเตรียมอุปกรณ์ ในการแล่เนื้อ พร้อมกับสั่งให้ผม เฝ้าซากหมาขี้เรื้อนตัวนี้เอาไว้ แต่ผมก็มัวแต่เก็บตะขบ จนลืมดู
พอพี่ชิตมาถึง ก็โวยวายกับผมว่า ซากหมาหายไปไหน พร้อมกับวิ่งตาม รอยเลือด หมาขี้เรื้อนตัวนี้ พร้อมกับบ่นว่า... “ทำไมมันไม่ตายวะ”
สักพักหนึ่ง แกก็ได้ยินเสียงหมาเห่า แกก็ตามเสียงไปทันที พอไปถึง ภาพที่เห็นคือ หมาขี้เรื้อน กำลังจะตาย มันมีลูก ที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังกินนมอยู่
บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อ ที่แม่หมาขี้เรื้อน คาบไปฝาก (เห็นกับตา) แม่หมาขี้เรื้อน
ตัวนี้ มันตายแล้วฟื้น และที่มัน ยังไม่ยอมตาย ก็เพราะจิตใจอันเข้มแข็ง ของมัน ที่ปลุกเร้าเยื่อใย ที่คงเหลือ อย่างเหนียวแน่นว่า… ต้องกลับไปให้ได้ เพื่อให้ลูกมันกินนมครับ
การตีของพี่ชิตนั้น กระทบกระเทือน ถึงหัวสมองแตก เลือดสาดเป็นลิ่มๆ แต่มันก็ยัง ลากตัวมันเอง กระเสือกกระสน ล้มลุกคลุกคลาน เพื่อกลับมาหา ลูกของมันจนได้ และสิ่งที่เห็นคือ...
การกระทำที่ยิ่งใหญ่ ของความเป็นแม่ ที่รักลูกมากเป็นที่สุด โดยไม่ห่วงตัวจะตาย นี่จิตใจอันยิ่งใหญ่ของแม่ ที่ไม่ว่าสัตว์ หรือคน ก็มีจิตใจเช่นนี้ แม้มันจะตาย ก็ขอให้ลูกพวกมัน ได้อิ่มซักมื้อ
แม่หมาพยายาม อย่างดีที่สุดแล้วครับ ผมไม่อยากจะเชื่อ... นั่นคือ น้ำตา ของแม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น มันมองผมกับพี่ชิต เหมือนขอร้อง เป็นครั้งสุดท้าย ที่มันต้องการให้นมลูก ก่อนตาย
สายตาของมันเศร้ามาก มันมองผมกับพี่ชิต อย่างวิงวอนทางสายตา ที่ขอร้องของมัน เพื่อขอให้มัน ได้ให้นมลูกของมัน เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตาย
พี่ชิต ไม้หล่นลงกับพื้น เดินเข้าไปดู แม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น ในยามนั้น... สิ่งที่แกเห็น ไม่ใช่หมาขี้เรื้อน แต่แกเห็นจิตใจ แห่งความเป็นแม่ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งทนเจ็บปางตาย เพื่อกลับไปหาลูกให้ได้
แกไม่พูดอะไร... ทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ... สายตาพี่ชิต ที่แข็งกร้าว กลับอ่อนโยนลง พร้อมกับมีลูกหมาตัวหนึ่ง วิ่งไปหาแก กระดิกหางให้ แกอุ้มลูกหมาขึ้น พร้อมมองไปที่ สายตา ของแม่หมาขี้เรื้อนนั้น อย่างสำนึกผิด และพูดคำว่า "ขอโทษ” พูดได้แค่นั้น แม่หมาก็สิ้นใจตาย อย่างตาหลับ
ผมกับพี่ชิต ช่วยกันฝังแม่หมาตัวนี้... พร้อมๆ กับจิตสำนึก ที่เกิดใหม่ ของพี่ชิต ที่เปลี่ยนไป ราวกับคนละคน แกรับเลี้ยง ลูกหมานั้นไว้ ทั้ง 5 ตัว และตั้งแต่นั้น แกกลายเป็นคนใจดี ไม่ไล่ยิงนก ยิงหมา ยิงแมวอีก แกบอกว่า... "มันอาจจะมี ลูกรออยู่ก็ได้”
วันเกิดของแม่ ปีที่แล้ว แกเอามะลิ ร้อยเป็นพวง ไปให้แม่ ทั้งๆ ที่ ไม่เคยทำมาก่อน พี่ชิตกราบแม่ พร้อมพูดกับแม่ว่า "แม่ครับ... ตอนผมอายุ 16 แม่สอนผม ยังไงนะ สอนอีกหน ได้ไหมครับ" แม่แกน้ำตาคลอ พูดไม่ออก
Subscribe to:
Posts (Atom)